ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวสิงคโปร์


ข้อมูลทั่วไปของสิงคโปร์

“สาธารณรัฐสิงคโปร์”สิงคโปร์ เป็นนครรัฐที่ตั้งอยู่บนเกาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ละติจูด 1?17’35” เหนือ ลองจิจูด 103?51’20” ตะวันออก ตั้งอยู่ทางใต้สุดของคาบสมุทรมาเลย์ อยู่ทางใต้ของรัฐยะโฮร์ของประเทศมาเลเซีย และอยู่ทางเหนือของหมู่เกาะเรียวของประเทศอินโดนีเซีย

ภูมิศาสตร์ ภาคกลางและภาคตะวันตกเป็นเนินเขา ซึ่งเนินเขาทางภาคกลางเป็นเนินเขาที่สูงที่สุดของประเทศ เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญของสิงคโปร์ และภาคตะวันออกเป็นที่ราบต่ำ ชายฝั่งทะเลมักจะต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ต้องมีการถมทะเล



ประชากร ประชากรหนาแน่นที่สุดในภูมิภาค และเป็นประเทศเล็กที่สุดในภูมิภาค เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับ 2 ของโลก มีจำนวนประชากรประมาณ 4.24 ล้านคน (2547) ประกอบด้วยชาวจีน (76.5%) ชาวมาเลย์ (13.8%) ชาวอินเดีย (8.1%) และอื่น ๆ (1.6%)



จากการที่มีประชากรหลายเชื้อชาติ สิงคโปร์จึงมีผู้นับถือศาสนาต่าง ๆ คือ พระพุทธศาสนา ศาสนาฮินดู คริสต์ศาสนา และลัทธิเต๋า


สถาพอากศ ประเทศสิงคโปร์มีสภาพภูมิอากาศคงที่ มีอุณหภูมิสม่ำเสมอและมีฝนตกชุก สิงคโปร์ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มสภาพภูมิอากาศแบบป่าเขตร้อน ไม่มีการแบ่งฤดูเหมือนประเทศอื่นๆ ที่มีการแบ่งเป็น ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง หรือ ฤดูหนาว ด้วยความที่สิงคโปร์มีภูมิอากาศที่คงที่ จึงเป็นการดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวตลอดปี โดยอุณหภูมิ จะอยู่ระหว่าง 22 ถึง 34 องศาเซลเซียส ค่าความชื้นโดยเฉลี่ยนอยู่ที่ 85% - 90% ในช่วงเช้า และ 55%-60% ในช่วงเที่ยง หากมีฝนตกชุกมาก ค่าความชื้นอาจสูงได้ถึง 100% ช่วงกลางปี ในเดือนมิถุนายน และ กรกฎาคม จัดเป็นเดือนที่ร้อนที่สุด และ เดือนพฤศจิกายน และธันวาคม เป็นช่วงฤดูมรสุม ซึ่งวัดจากพื้นดินที่ชุ่มชื้นและค่าความชื้นสูง อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยวัดได้ คือ 19.4 องศาเซลเซียส และมากที่สุด คือ 35.8 องศาเซลเซียส ประเทศสิงคโปร์ตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ทำให้ภูมิอากาศมีความคงที่อยู่ตลอดปี สภาพภูมิอากาศมักมีส่วนสำคัญเวลานักท่องเที่ยวเลือกที่จะไปท่องเที่ยวในที่ ใดๆ และสิงคโปร์ดูจะตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวได้ดีที่สุด บางคนไม่ชอบอากาศชื้นในเดือน พฤศจิกายน และธันวาคม แต่ 10 เดือนที่เหลือก็ยังมีสภาพอากาศที่ดีให้กับนักท่องเที่ยวได้ สวนพฤกษศาสตร์ที่นี่ได้รับการดูแลอย่างดี เป็นจุดท่องเที่ยวที่สวยงามสำหรับนักท่องเที่ยวและชาวสิงคโปร์เอง

การคมนาคม สำหรับการเดินทางภายในสิงคโปร์นั้น คุณสามารถเลือกใช้บริการระบบขนส่งมวลชนหลักๆ ได้ 3 ประเภท คือ

สำหรับการเดินทางภายในสิงคโปร์นั้น คุณสามารถเลือกใช้บริการระบบขนส่งมวลชนหลักๆ ได้ 3 ประเภท คือ

  • รถไฟฟ้า/Singapore Mass Rapid Transit (MRT)
    ระบบขนส่งที่คล้ายกับรถไฟใต้ดินบ้านเราและมีค่าโดยสารไม่แพง (อยู่ในช่วงราคา S$1-2.10) โดยจะให้บริการตั้งแต่เวลา 05.31 น. สำหรับวันจันทร์-เสาร์ วันอาทิตย์วันหยุดให้บริการตั้งแต่เวลา 05.59-24.03 น.
  • รถโดยสารประจำทาง (Bus)
    ระบบขนส่งมวลชนที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้รถไฟฟ้าเลย ซึ่งจะเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-24.00 น. โดยมีทั้งแบบรถธรรมดาและรถปรับอากาศ สนนราคาไม่แพง ตกเที่ยวละ S$0.90-2.35 เท่านั้น
  • แท็กซี่ (Taxis)
    มีให้เลือกตั้งแต่ระดับธรรมดาไปจนถึงระดับหรูอย่าง Limousines โดยราคาค่าโดยสาร 1 กิโลเมตรแรกเริ่มต้นที่ S$2.80 จากนั้นค่าโดยสารจะขึ้นอีก 10 เซนต์ทุกๆ 210 เมตร

เดินทางจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมือง
การเดินทางจากสนามบินชางฮีเข้าสู่ย่านที่พักในสิงคโปร์นั้นค่อนข้างสะดวก และสามารถทำได้ 3 วิธี คือ

  • MRT (Singapore Mass Rapid Transit)
    การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นการเดินทางที่สะดวกรวดเร็ว และนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมใช้กันมาก โดยสถานีรถไฟฟ้าจะตั้งอยู่ที่เทอร์มินัล 2 และ 3 ของสนามบินชางฮี ซึ่งจะเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 05.30-23.18 น.

  • Airport Shuttle Service
    จะเป็นรถแม็กซีแค็บแบบ 9 ที่นั่ง วิ่งให้บริการระหว่างสนามบินไปยังโรงแรมเกือบทุกแห่งในเมือง (ยกเว้นโรงแรม Changi Village และโรงแรมบนเกาะเซ็นโตซ่า) ซึ่งคุณสามารถเลือกลงตรงปลายทางที่อยู่ภายในย่านธุรกิจ รวมถึงสถานีรถไฟฟ้าได้ด้วย โดยจะเปิดให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง และออกทุก 15 นาทีในช่วงเวลา 06.00-24.00 น. หลังจากนั้นจะออกวิ่งทุกๆ 30 นาที
  • รถเมล์สาธารณะ (Public Buses)
    วิธีนี้นับว่าเป็นวิธีที่ประหยัดที่สุดในการเดินทางเข้าเมือง แต่อาจจะใช้เวลานานสักนิด ซึ่งท่ารถจะตั้งอยู่ที่อาคาร 1 ชั้นใต้ดินชั้น 2 (Basement 2) และอาคาร 2 ชั้นใต้ดิน (Basement) โดยเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 06.00-24.00 น.


แพคเกจทัวร์สิงคโปร์

ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวสิงคโปร์

ที่มา: Thaifly.com

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวแดนปลาดิบ เที่ยวญี่ปุ่น : รู้ก่อนไป



เที่ยวญี่ปุ่น

Picture
ข้อมูลทั่วไป ที่ตั้ง ตั้งอยู่ด้านฝั่งตะวันออกของทวีปเอเชีย หรือทางตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก ประเทศญี่ปุ่นมัลักษณะเป็นเกาะ ทำให้กูมิประเทศติดกับทะเล ไม่ติดกับประเทศใดเลย การที่ประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะเป็นเกาะ ทำให้ญี่ปุ่นเผชิญกับปัญหาแผ่นดินไหวมากกว่าทุก ๆ ประเทศในโลก ที่ทำให้ญี่ปุ่นประสบกับภาวะแผ่นดินไหวเช่นนี้เพราะ ญี่ปุ่นมีสภาพภูมิศาสตร์ตั้งอยู่บนรอยเลื่อนต่าง ๆ มากมาย เมืองหลวง กรุงโตเกียว ภาษา ใช้ภาษาญี่ปุ่นในการติดติดต่อสื่อสาร ตัวอักษรในภาษาญี่ปุ่นสามารถจำแนกออกเป็นสองกลุ่ม คือ ตัวอักษรที่ใช้ง ซี่งได้แก ่ฮิระงะนะ และ คะตะคะนะ กับ ตัวอักษรที่แสดงความหมาย ที่เรียกว่า คันจิ โดยใช้ร่วมกับตัว เลขอารบิก และตัวอักษรโรมัน ซึ่งจะมีความหลากหลายมากกว่าภาษาที่ใช้ในประเทศใกล้เคียง เช่น ภาษาจีน ซึ่งใช้ตัวอักษรจีน เป็นหลัก ส่วนภาษาเกาหลี ก็จะใช้ อักษรฮันกุลเป็นหลัก

Picture
Picture


ชุดประจำชาติญี่ปุ่น คือชุด"กิโมโน" ซึ่งในประเทศญี่ปุ่น แบ่งสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานของมนุษย์ออกได้เป็น 3 อย่างคือ "เสื้อผ้า" "อาหาร" "ที่อยู่อาศัย" การที่เสื้อผ้ามีความสำคัญเป็นอันดับแรกก็เพราะมีความเชื่อมาเป็นเวลานานว่า เสื้อผ้าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้รู้จักฐานะทางสังคม อาชีพ อุปนิสัยใจคอของคน ๆ นั้นได้ จึงให้ความสำคัญกับเสื้อผ้าเป็นพิเศษ
Picture
ภูมิอากาศ ญี่ปุ่นมี 4 ฤดูหลัก ที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน คือ ฤดูใบไม้ผลิ : (มีนาคม-พฤษภาคม) อากาศอบอุ่น
Picture
ฤดูร้อน : (มิถุนายน-สิงหาคม) อากาศร้อนชื้นโดยมีช่วงฤดูฝนสั้นๆ ประมาณ 1 เดือนในช่วงต้นฤดู
Picture
ฤดูใบไม้ร่วง : (กันยายน-พฤศจิกายน) อากาศอบอุ่น โดยมีพายุไต้ฝุ่นมากในช่วงเดือนกันยายน
Picture
ฤดูหนาว : (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) อากาศหนาว มีหิมะตกมากทางภาคเหนือของประเทศและฝั่งทะเลญี่ปุ่น ส่วนทางใต้และฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก อากาศจะอบอุ่นกว่า
Picture
Picture

ระเบียบการเข้าเมือง ปัจจุบัน การทำหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตมีความสะดวกและรวดเร็ว โดยการไปยื่นคำร้องด้วยตนเองที่กองหนังสือเดินทาง กระทรวงการต่างประเทศ หรือที่สำนักงานสาขาของกองหนังสือเดินทาง ทุกวันเวลาราชการ และเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้ยื่นคำร้องจะต้องมีเอกสารครบถ้วน พร้อมเงินค่าธรรมเนียม 1,130 บาท ( รวมค่าถ่ายรูป , ค่าเขียนคำร้อง , ค่าอากรแสตมป์ และค่าส่งทางไปรษณีย์ ) โดยใช้เวลาตั้งแต่ยื่นคำร้องจนถึงเสร็จสิ้นขึ้นตอนทั้งหมด ประมาณ 30 นาที ขั้นตอนการยื่นขอหนังสือเดินทาง 1.ถ่ายรูป ( ชำระค่าถ่ายรูป 75 บาท ) แล้วรอรับคำร้อง 2.ชำระค่าธรรมเนียม 1,000 บาท 3.จ่ายเงินค่าเขียนคำร้อง 10 บาท ค่าอากรแสตมป์ 5 บาท 4.นำคำร้องที่ปรากฎรูปถ่ายไปให้เจ้าหน้าที่เขียนคำร้อง 5.ยื่นคำร้องที่กรอกข้อความเรียบร้อยแล้วตามช่องที่กำหนดแล้วรอรับใบรับเล่มและใบเสร็จรับเงิน 6.ติดต่อขอส่งหนังสือเดินทางทางไปรษณีย์ค่าบริการ 40 บาท 7.ท่านจะได้รับหนังสือเดินทางภายใน 10 วันทำการ เอกสารเพิ่มเติมตามความจำเป็นแล้วแต่กรณี - ใบเปลี่ยนชื่อและสกุล - ทะเบียนสมรส - ทะเบียนหย่า - ทะเบียนการรับบุตรบุญธรรม - ทะเบียนการรับรองบุตร - ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวของบิดาและมารดา หมายเหตุ : เอกสารทุกฉบับต้องนำต้นฉบับมาพร้อมสำเนา 1 ชุด วิธีการขอรับการตรวจลงตราวีซ่ามี 2 วิธีคือ 1.การ ขอโดยการพิจารณาล่วงหน้า สามารถขอวีซ่าได้ด้วยตนเอง ณ สถานฑูตหรือสถานกงศุลญี่ปุ่น ขั้นตอนค่อนข้างเสียเวลานานเพราะจะรวมถึงการส่งเอกสารไปมาจากญี่ปุ่น รวมทั้งระหว่างสถาบันในประเทศญี่ปุ่นด้วย 2.การขอโดยใช้หนังสือแสดง สถานภาพการอยู่อาศัยในญี่ปุ่น หลังจากนักศึกษาหรือผู้แทนได้รับใบรับรองสถานภาพการอยู่อาศัยในญี่ปุ่นแล้ว นักศึกษาสามารถใช้ใบรับรองนี้เพื่อขอวีซ่าได้ที่สถานฑูตหรือสถานกงศุล ญี่ปุ่น ซึ่งวิธีนี้ค่อนข้างง่ายและรวดเร็ว

ข้ออนุญาติศุลกากร การ นำเข้าสิ่งของโดยปลอดภาษี ของใช้ส่วนตัวและอุปกรณ์ประกอบอาชีพสามารถนำเข้าไปในญี่ปุ่นได้โดยปลอดภาษี นอกจากนี้ท่านยังสามารถนำเข้าโดยปลอดภาษีมีบุหรี่ 400 มวน ยาสูบ 500 กรัม หรือซิการ์ 100 มวน เครื่องดื่มมี อัลกอฮล์ 3 ขวด น้ำหอม 2 ออนซ์ ตลอดจนของที่ระลึก ซึ่งตีราคารวมกันแล้วไม่ถึง 200,000 เยนหรือเทียบเท่า บุคคลที่อายุยังไม่ถึง 19 ปี และอายุเพียง19 ปี ไม่อนุญาตให้นำเข้าบุหรี่หรือเครื่องดื่มมีอัลกอฮล์ . สิ่งของต้องห้ามในการนำเข้าประเทศญี่ปุ่น 1.ฝิ่น กัญชา และยาเสพติดทุกประเภท ยากระตุ้นประสาท( รวมไปถึงยาดมด้วยเช่นกัน) 2.อาวุธ 3.สื่อที่อาจเป็นอันตรายต่อสาธารณชน หรือขัดต่อศีลธรรม เช่นสื่อลามก ( หนังสือ / วิดีโอ / ภาพถ่าย และอื่น ๆ) 4.เหรียญปลอม ธนบัตรปลอม ของที่ละเมิดลิขสิทธิ์ เช่นของเทียม ลอกเลียนแบบ 5.สัตว์ ป่าและพืช รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสัตว์ป่าและของป่า หากจะนำสัตว์หรือพืช (รวมถึงเมล็ดพันธุ์และผล) เข้าญี่ปุ่น จะต้องผ่านด่านการตรวจเช็คและควบคุมโรคอย่างละเอียด
Picture
Picture

Picture
Picture


วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวเกาหลี ตามกระแส เกาหลี ฟีเวอร์

ตกลงคนไทยไปเที่ยวเกาหลี เพราะอะไรกัน เหตุผลคงหนีไม่พ้น ดารา นักร้อง ที่โด่งดังข้ามน้ำข้ามทะเล มาถึงบ้านเรานั้นเอง ดูหน้งแล้วก็อยากไปสัมผัสบรรยากาศนั้นมั้ง จากที่ไป ฮ่องกง กะ มาเก๊ามาแล้ว ทีนี้เราก็ขึ้นสูงไปอีกนิด กับบรรยากาศที่แตกต่าง เกาหลี ๆๆๆๆๆๆ ประเทศที่น่าเที่ยวอีกประเทศหนึ่ง

ที่ตั้ง ตะวันออกเฉียงเหนือ ของทวีปเอเชีย
เมืองหลวง กรุงโซล
ภาษา ภาษาเกาหลีอยู่ในตระกูลอูราล-อัลเทอิกซึ่งเกี่ยวพันกับภาษามองโกเลีย ฟินนิช และฮังกาเรียน ทุกวันนี้ประชากรชาวเกาหลีทั้งหมดพูดและเขียนภาษาเกาหลีซึ่ง เรียกว่า ฮันกึล ซึ่งได้ประดิษฐ์ขึ้นในปี ค.ศ. 1443 อักขระเกาหลีประ กอบด้วย 10 เสียงสระ และ 14 เสียงพยัญชนะ
ชุดประจำชาติเกาหลี "ฮันบก" เป็นชุดประจำชาติของเกาหลีซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวนานนับพันๆ ปี ความสวยงาม และความสุภาพของวัฒนธรรมเกาหลีฉายอยู่ในรูปภาพของผู้หญิงในชุดฮันบก ก่อนอิทธิพลของเครื่องแต่งกายแบบตะวันตก จะเข้ามาถึงประเทศเกาหลีเมื่อร้อยปีมาแล้ว ฮันบกเคยเป็นชุดประจำวัน ผู้ชายสมัยก่อนใส่ ชอโกรี (เสื้อนอกแบบเกาหลี) กับพาจิ (กางเกางขายาว) ขณะที่ผู้หญิงใส่ ชอกอรี กับชีมา (กระโปรง) ปัจจุบันนี้ ฮันบกใช้ใส่เฉพาะโอกาสที่มีการเฉลิมฉลอง เช่น วันแต่งงาน วันซอลลัล และชูซก ฮันบก มีลักษณะที่หลวมๆ ถูกตัดเย็บขึ้นเพื่อปกปิดส่วนโค้งส่วนเว้า ตามธรรมชาติของร่างกาย


ภูมิอากาศ : เกาหลีอยู่ในเขตอบอุ่นซึ่งมีอยู่ 4 ฤดูกาลใน 1 ปี

ฤดูใบไม้ผลิ เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมจนถึงเดือนพฤษภาคม ขุนเขาและท้องทุ่งทั่วประเทศจะเต็มไปด้วย ดอกเชอรี่ ฟอร์ซีเธีย อาซาเลีย แมกโนเลีย และไลแลค ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เกาหลีคือดินแดนแห่งดอกไม้ที่งดงาม
ฤดูร้อน ปลายระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน คือฤดูกาลแห่งแสงอาทิตย์ ป่าอันร่มครึ้ม ท้องทุ่งเขียวกระจ่างตา และทะเลสีคราม จะชักนำให้ผู้คนออกนอกบ้านเพื่อการพักผ่อนในวันหยุด
ฤดูใบไม้ร่วง ปลายเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน ช่วงเวลาแห่งความเย็นและฟ้าใส ทำให้จุดนี้เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของปี ใบไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นดินช่วยแต่งเติมสีสันแก่ขุนแขาให้งดงามไปด้วยเฉดสี แดงและเหลืองตัดกับท้องฟ้าที่งามกระจ่างตา เบิกบานไปกับการเดินเที่ยวบนภูเขาอันซึ่งพื้นดินพรมพร่างไปด้วยใบไม้
ฤดูหนาว เดือนธันวาคมถึงกลางเดือนมีนาคม เหน็บหนาวและแห้งแล้งกับช่วงเวลาแห่ง3 วันที่หนาวเย็นตามด้วย 4 วันแห่งความอบอุ่น เทศกาลหิมะและที่พักตากอากาศสำหรับเล่นสกีทำให้ฤดูหนาวของเกาหลีเป็นฤดุที่ เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

การเดินทาง ใน เกาหลี

การเดินทางระหว่างกรุงโซลกับเมืองใหญ่ ๆ ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก มีเที่ยวบินของสายการบินนานาชาติหลายสายให้บริการประจำ ประเทศเกาหลีมีท่าอากาศยานนานาชาติ อยู่ 3 แห่ง คือ
  • ท่าอากาศยานนานาชาติคิมโป ใกล้กรุงโซล (ในปี ค.ศ. 2001 จะเปลี่ยนสนามบินไปใช้ที่เกาะยงดอง เมืองอินชอน)
  • คิมแฮ ใกล้พูซาน
  • และเชจู บนเกาะเชจู
ส่วนท่าเรือเดินสมุทรมีหลายแห่ง และยังมีสายการบินภายในประเทศ ที่บริการบินเชื่อมโยงเมืองใหญ่ รถแท็กซี่มีเป็นจำนวนมาก และราคายุติธรรม โดยใช้ระบบมิเตอร์ และรถเช่าพร้อมบริการ รถไฟที่เครือข่ายเชื่อมโยงถึงเกือบทุกส่วนของประเทศ มีรถทัวร์ ซึ่งมี เครือข่ายกระจายทั่วประเทศ รถไฟและรถทัวร์ มีตารางการเดินรถและเวลาเขียนเป็นเป็นภาษาเกาหลี ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับนักท่องเที่ยว กรุงโซลและเมืองพูซาน มีระบบเส้นทางเดินรถไฟใต้ดินที่ทันสมัยและรวดเร็ว มีป้ายชื่อสถานีและป้ายบอกทิศทางเขียนภาษาอังกฤษควบคู่ภาษาเกาหลี ระหว่างเกาะต่างๆ มีเรือบรรทุกรถยนต์และเรือไฮโดรฟอยส์ คอยบริการ



ระเบียบการเข้าเมือง
นักท่องเที่ยวที่ถึอตั๋วโดยสาร เครื่องบินขาออก ที่สายการบินยืนยันที่นั่งแล้ว เกาหลียกเว้นวีซ่าให้สำหรับผู้ ถือหนังสือเดินทางไทย ยกเว้นวีซ่าและอยู่เกาหลีได้ 90 วัน (สำหรับนักท่องเที่ยวไทยถือพาสปอตต่างด้าว จะต้องของวีซ่าที่สถานทูตเกาหลีในไทยก่อนเดินทาง) พิธีการเข้าเมืองนั้น ด่านแรก-ด่านสุขภาพ ด่านที่สอง - ด่านเข้าเมือง เข้าแถวที่มีป้ายว่า สำหรับชาวต่างประเทศ (FOREIGNER) พร้อมพาสปรอตและใบเข้า - ออก เมือง จากนั้นเอกเรย์ของใช้ส่วนตัว และรับกระเป๋าที่สายพาน มีรถเข็นอยู่ใกล้ ๆ ไม่ต้องเสียเงิน ตรวจกระเป๋า และเตรียมใบศุลกากร พาสปอตไม่ใช้ ผ่านศุลกากรช่องเขียว เมื่อผ่านประตูบานเลื่อน ให้ออกทางซ้ายสำหรับคณะทัวร์ จะมี ไกด์ท้องถิ่นถือป้ายรอต้อนรับท่าน

เวลาทำการ
สถานที่ทำการของรัฐบาลเปิดระหว่างเวลา 9.00 น. - 18.00 น. ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤศจิกายน และเปิดระหว่าง 9.00 น. - 17.00 น. ตั้งแต่พฤศจิกายน ถึงกุมภาพันธ์ วันเสาร์เปิด 9.00 น. และปิด 13.00 น.

สถานที่ทำการของธุรกิจเอกชนส่วนใหญ่จะมีเวลาเปิดตั้งแต่ 8.30 น. - 10.00 น. และปิดในเวลาเย็น ยกเว้นธนาคาร ธนาคารมีเวลาทำการตั้งแต่ 9.30 น. - 16.30 น. และปิดในวันเสาร์และอาทิตย์

ที่ ทำการของสถานฑูตต่างประเทศในโซลยึดถือเวลาทำการรวมทั้งเวลาอาหารกลางวัน อย่างเคร่งครัด ปกติจะเปิดตั้งแต่ 9.00 น. - 17.00 น. วันธรรมดา และปิดวันเสาร์และอาทิตย์

ห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ เปิดตั้งแต่ 10.30 น. - 20.00 น. รวมทั้งเปิดวันอาทิตย์ด้วย แต่ร้านค้าขนาดเล็กมักเปิดเช้ากว่า และปิดสายกว่าทุกวัน

บริการโทรศัพท์
โทรศัพท์สาธารณะมี 3 ประเภท คือคือสีฟ้า สีเทา และโทรศัพท์ที่ใช้บัตรสีฟ้าและเทาใช้สำหรับโทรในเมืองและในประเทศ เสียค่าโทรครั้งละ 40 วอน ต่อ 3 นาที (ทางไกลจะแพงกว่านี้) โทรศัพท์ใช้บัตร โทรได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยบัตรมีราคาตั้งแต่ 2000 / 3000 / 5000 / 10000 วอน บัตรเหล่านี้มีขายทั่วไป ตามโรงแรม ธนาคาร ร้านค้า หรือสังเกตที่ตู้โทรศัพท์จะมีการบอกสถานที่ขายใกล้ๆ โทรเข้าประเทศไทย ประมาณนาทีละ 400 วอน